เมนู

อรรถกถาเอกปุคคลวรรคที่ 13



อรรถกถาสูตรที่ 1



เอกปุคคลวรรค สูตรที่ 1

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เอกปุคฺคโล แปลว่า บุคคลคนเดียว. บทว่า เอโก ใน
คำว่า เอกปุคฺคโล นี้ เป็นการกำหนดจำนวน ซึ่งมีใจความปฏิเสธ
คนที่ 2 เป็นต้น. บทว่า ปุคฺคโล เป็นคำพูดโดยสมมติ ไม่ใช่คำพูด
โดยปรมัตถ์.
จริงอยู่เทศนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า มี 2 อย่าง คือ
สมมติเทศนา 1 ปรมัตถเทศนา 1 ใน 2 อย่างนั้น เทศนาทำนองนี้ว่า
บุคคล สัตว์ หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ เทวดา มาร ชื่อว่า
สมมติเทศนา เทศนาทำนองนี้ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สติปัฏฐาน ชื่อว่า ปรมัตถเทศนา. ในเทศนา 2
อย่างนั้น ชนเหล่าใดฟังเทศนาเนื่องด้วยสมมติ สามารถเข้าใจเนื้อ
ความละโมหะ บรรลุคุณพิเศษได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดง
สมมติเทศนาแก่ชนเหล่านั้น. ส่วนชนเหล่าใด ฟังเทศนาเนื่องด้วย
ปรมัตถ์ แล้วสามารถเข้าใจเนื้อความ ละโมหะ บรรลุคุณพิเศษได้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงปรมัตถเทศนาแก่ชนเหล่านั้น.
ในข้อนั้น พึงทราบอุปมาดังต่อไปนี้ :-
เหมือนอย่างว่า อาจารย์ผู้ฉลาดในภาษาท้องถิ่น ผู้บรรยาย
เนื้อความแห่งเวททั้ง 3 ชนเหล่าใด เมื่อพูดด้วยภาษาทมิฬ ย่อมรู้ใจ

ความได้ ก็จะสอนชนเหล่านั้น ด้วยภาษาทมิฬ ชนเหล่าใดเมื่อพูด
ด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งในบรรดาภาษาของชาวอันธะเป็นต้น ย่อมรู้
ใจความได้ ก็จะสอนด้วยภาษานั้น ๆ แก่ชนเหล่านั้น เมื่อเป็นดังนั้น
มาณพเหล่านั้น อาศัยอาจารย์ผู้ฉลาด เฉียบแหลม ย่อมเรียนศีลปะ
ได้โดยฉับพลันทีเดียว. ในอุปมานั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาค
พุทธเจ้า เปรียบเหมือนอาจารย์. ปิฎก 3 ตั้งอยู่ในภาวะที่จะต้อง
บอกกล่าว เปรียบเหมือนเวท 3 ความเป็นผู้ฉลาดในสมมติและ
ปรมัตถ์ เหมือนความเป็นผู้ฉลาดในภาษาท้องถิ่น เวไนยสัตว์ผู้
สามารถเข้าใจความได้ ด้วยอำนาจแห่งสมมติและปรมัตถ์เหมือน
มาณพ ผู้รู้ภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ กัน เทศนาด้วยอำนาจสมมติและ
ปรมัตถ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เปรียบเหมือนการสอนด้วยภาษา
มีภาษาทมิฬเป็นต้นของอาจารย์. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ในที่นี้ว่า

พระสัมพุทธเจ้า เป็นยอดของผู้กล่าวสอน
ทั้งหลาย ได้ตรัสสัจจะ 2 อย่าง คือ สมมติ
สัจจะ และปรมัตถสัจจะ ไม่ตรัสสัจจะที่ 3
คำที่ชาวโลกหมายรู้กันก็เป็นสัจจะ เพราะมี
โลกสมมติเป็นเหตุ คำที่ระบุถึงสิ่งที่เป็นปรมัตถ์
ก็เป็นสัจจะ เพราะมีความจริงของธรรมทั้งหลาย
เป็นเหตุ เพราะฉะนั้น มุสาวาท จึงไม่เกิดแก่
พระโลกนาถผู้ศาสดา ผู้ฉลาดในโวหาร ผู้ตรัส
ตามสมมติ.

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปุคคลกถา ว่าด้วย
บุคคล ด้วยเหตุ 8 ประการ คือ เพื่อทรงแสดงหิริ ความละอาย
และโอตัปปะ ความเกรงกลัว 1 เพื่อทรงแสดง กัมมัสสกตา (ความ
ที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน) 1 เพื่อทรงแสดงบุคคลผู้กระทำเฉพาะตน 1
เพื่อทรงแสดงถึงอนันตริยกรรม (กรรมก่อนกรรมอื่น ๆ ที่ให้ผล) 1
เพื่อทรงแสดงถึงพรหมวิหารธรรม (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเปกขา) 1
เพื่อทรงแสดงถึงปุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติก่อนไว้) 1 เพื่อทรง
แสดงถึงทักขิณาวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งทักขิณา) 1 และเพื่อไม่ทรง
ละโลกสมมติ 1. เมื่อพระองค์ตรัสว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะทั้งหลาย
ย่อมละอาย ย่อมเกรงกลัวดังนี้ มหาชนย่อมไม่เข้าใจ ย่อมงงงวย
กลับเป็นศัตรู(โต้แย้ง)ว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมละอาย ย่อม
เกรงกลัว. แต่เมื่อตรัสว่า หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ เทพ และมาร
ย่อมละอาย ย่อมเกรงกลัว มหาชนย่อมเข้าใจ ย่อมไม่งงงวย ไม่กลับ
เป็นศัตรู(ไม่โต้แย้ง). เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบุคคล
กถา (กถาว่าด้วยบุคคล) ก็เพื่อทรงแสดงหิริและโอตตัปปะ.

แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ทั้งหลาย ธาตุทั้งหลาย อายตนะ
ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงความที่สัตว์มีกรรม
เป็นของตน. แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า มหาวิหารทั้งหลาย มีเวฬุวันเป็นต้น
อัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สร้างแล้ว ก็นัยนี้เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น พระผู้
มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงบุคคลผู้กระทำ
เฉพาะตน

แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมปลงชีวิต
บิดา มารดา พระอรหันต์ กระทำกรรมคือยังพระโลหิตให้ห้อ และ
กระทำสังฆเภท ก็นัยนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงอนันตริยกรรม.
แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมมีเมตตา
ก็นัยนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดง
บุคคลกถา เพื่อทรงแสดงพรหมวิหารธรรม.
แม้ในคำที่กล่าวไว้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมระลึกถึง
ปุพเพนิวาสญาณ ก็นัยนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงปุพเพนิวาสญาณ.
แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ย่อมรับทาน มหาชน
ย่อมไม่เข้าใจ ย่อมงงงวย กลับเป็นศัตรูว่า นี้อะไรกัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ
ย่อมรับทาน. แต่เมื่อกล่าวว่า บุคคลผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเป็นต้น
มหาชนย่อมเข้าใจ ย่อมไม่งงงวย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงแสดงบุคคลกถา เพื่อทรงแสดงความหมดจดแห่งทักษิณา.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ละโลกสมมติ
ตั้งอยู่ในชื่อของชาวโลก ในภาษาของชาวโลก ในคำพูดจากันของ
ชาวโลกนั่นแลแสดงธรรม. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรง
แสดงบุคคลกถา แม้เพื่อไม่ละโลกสมมติ.
ดังนั้น จึงชื่อว่าบุคคลเอก เพราะบุคคลนั้นด้วย เป็นเอกด้วย.
ที่ชื่อว่าบุคคลเอก เพราะอรรถว่ากระไร ? เพราะอรรถว่า ไม่มี
ผู้อื่นเหมือน เพราะอรรถว่าพิเศษโดยคุณ เพราะอรรถว่าเสมอกับ

พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีบุคคลเสมอ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ไม่เหมือนกับมหาชนทั่วไป โดยคุณคือโพธิสมภารนับตั้งแต่ทรงรำพึง
ถึงบารมี 10 ตามลำดับและโดยพระพุทธคุณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
บุคคลเอก เพราะอรรถว่าไม่มีใครเหมือนบ้าง.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงมีคุณพิเศษกว่าคุณของ
เหล่าสัตว์ผู้มีคุณทั่วไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อบุคคลเอก เพราะอรรถ
ว่า มีความพิเศษโดยคุณ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ๆ ไม่เสมอ
ด้วยสัตว์ทุกจำพวก แต่พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ พระองค์เดียวเท่านั้น
เป็นผู้เสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยพระคุณคือรูปกาย
และพระคุณคือนามกาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า บุคคลเอก เพราะ
อรรถว่า เสมอกับพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ.
บทว่า โลเก ได้แก่ โลก 3 คือ สัตวโลก โอกาสโลก สังขาร-
โลก. กถาว่าด้วยความพิสดารแห่งโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้กล่าวไว้แล้ว
ในวิสุทธิมรรค. บรรดาโลก 3 นั้น สัตวโลกท่านประสงค์เอาในที่นี้.
จริงอยู่ พระตถาคตนั้น แม้เมื่อเกิดในสัตวโลก หาได้เกิดในเทวโลก และ
ในพรหมโลกไม่ ย่อมเกิดเฉพาะในมนุษยโลกเท่านั้น. แม้ในมนุษย-
โลกเล่า ก็หาได้เกิดในจักรวาลอื่นไม่ ย่อมเกิดเฉพาะในจักรวาลนี้
เท่านั้น แม้ในจักรวาลนั้น ก็หาเกิดในที่ทุกแห่งไปไม่.
ในทิศบูรพา มีนิคม ชื่อว่า กชังคละ ถัดจากกชังคละนิคม
นั้นไป มีนครชื่อว่า มหาสาละ ถัดจากมหาสาละนั้นไป เป็น
ปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท. ในทิศอาคเนย์ มีแม่น้ำ
ชื่อว่า สัลลวดี ถัดจากแม่น้ำสัลลวดีนั้นไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมใน

เป็นมัชฌิมชนบท. ในทิศทักษิณ มีนิคนชื่อว่าเสตกัณณิกะ ถัดจาก
เสตกัณณิกนิคมนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท
ในทิศประจิม มีบ้านพราหมณ์ ชื่อว่าถูนะ ถัดจากบ้านพราหมณ์นั้นไป
เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท ในทิศอุดร มีภูเขา
ชื่อว่า อุสีรธชะ ถัดจากเขานั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็น
มัชฌิมชนบท. พระตถาคตย่อมอุบัติ ในมัชฌิมประเทศ ที่ท่านกำหนด
ดังกล่าวมาแล้วนั้น โดยส่วนยาว วัดได้ 300 โยชน์ โดยส่วนกว้าง
วัดได้ 150 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 900 โยชน์. อนึ่งพระตถาคต
หาได้อุบัติแต่ลำพังพระองค์อย่างเฉียวไม่ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระอัครสาวก พระอสีติมหาเถระ แม้ท่านผู้มีบุญอื่น ๆ ก็ย่อมเกิด
ขึ้น. พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา พระเจ้าจักรพรรดิ์ และ
พราหมณ์คฤหบดี ผู้เป็นบุคคลสำคัญเหล่าอื่น ก็ย่อมเกิดในมัชฌิม-
ประเทศนี้เหมือนกัน.
ก็บทว่า อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ ทั้งสองนี้ เป็นคำกล่าว
ค้างไว้เท่านั้น. ก็ในคำนี้พึงทราบความอย่างนี้ว่า พระตถาคตเมื่อ
อุบัติ ย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก หาอุบัติ
ด้วยเหตุอื่นไม่. ก็ในอธิการนี้ ลักษณะเห็นปานนี้ ใคร ๆ หาอาจ
คัดค้านคำทั้งสองนั่นโดยลักษณะศัพท์อื่นไม่.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความต่างกันในคำนี้ ดังนี้ว่า อุปฺปชฺ-
ชมาโน นาม
(ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติ ) อุปฺปชฺชติ นาม (ชื่อว่ากำลังอุบัติ)
อุปฺปนฺโน นาม (ชื่อว่าอุบัติแล้ว.) จริงอยู่ พระพุทธองค์ได้รับคำ

พยากรณ์ แต่บาทมูลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร เมื่อ
แสวงหาพุทธการกธรรม (ธรรมเครื่องทำความเป็นพระพุทธเจ้า)
ทรงเห็นบารมี 10 จึงทรงตกลงพระทัยว่า เราควรบำเพ็ญธรรม
เหล่านี้ แม้กำลังบำเพ็ญทานบารมีอยู่ ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ. แม้
เมื่อทรงบำเพ็ญบารมี 10 เหล่านี้คือ ศีลบารมี ฯลฯ อุเปกขาบารมี
ก็ดี ทรงบำเพ็ญอุปบารมี 10 อยู่ก็ดี ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ. แม้เมื่อ
ทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี 10 อยู่ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ เมื่อบริจาค
ซึ่งมหาบริจาค 5 ประการ ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ แม้เมื่อทรงบำเพ็ญ
ญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา และพุทธัตถจะริยา ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ.
แม้เมื่อทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรม ให้ถึงที่สุด สิ้น 4 อสงไขยกำไรแสนกัป
ก็ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติ. แม้เมื่อทรงละอัตภาพพระเวสสันดร ถือปฏิสนธิใน
ดุสิตบุรี ดำรงอยู่ตลอด 57 โกฏิปี กับอีก 60,000 ปี ก็ชื่อว่าเมื่อจะ
อุบัติ. พระองค์อันเทวดาทูลอาราธนาแล้ว ทรงตรวจดู มหาวิโลกิตะ
5 ประการ ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระเทวี ทรงพระนาม
ว่ามหามายาก็ดี ทรงอยู่ในพระครรภ์ 10. เดือนถ้วนก็ดี ก็ชื่อว่า
เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. แม้ทรงดำรงอยู่ในการครองเรือน 29 พรรษา
ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. แม้เมื่อทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย
เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม มีนายฉันนะเป็นสหาย ทรงม้า
กัณฐกะตัวประเสริฐ เสด็จออกผนวชในวันที่พระราหุลภัตทะประสูติ
ก็ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. เสด็จผ่านพ้นราชอาณาจักรทั้ง 3 แห่งไป
ทรงผนวชที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานทีก็ดี ก็ชื่อว่าเมื่อจะอุบัติเหมือนกัน แม้.
ทรงท่านหาปธานความเพียร 6 พรรษา ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน.
เมื่อพระญาณแก่กล้าแล้วเสวยกระยาหารหยาบก็ดี ก็ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติ

เหมือนกัน. แม้เมื่อขึ้นสู่มหาโพธิมัณฑสถานในวันวิสาขบุรณมี
ในเวลาเย็น ทรงกำจัดมารและพลแห่งมาร ทรงระลึกถึงปุพเพ-
นิวาสญาณในปฐมยาม ทรงชำระทิพพจักขุในมัชฌิมยาม ทรง
พิจารณาปฏิจจสมุปบาท 12 องค์ โดยอนุโลม และปฏิโลมในเวลา
ติดต่อกับปัจฉิมยาม แล้วแทงตลอดโสดาปัตติมรรคก็ดี ชื่อว่า เมื่อจะ
อุบัติเหมือนกัน. ในขณะแห่งโสดาปัตติผลก็ดี ในขณะแห่งสกทาคา
มิมรรคก็ดี ในขณะแห่งสกทาคามิผลก็ดี ในขณะแห่งอนาคามิมรรค
ก็ดี ในขณะแห่งอนาคามิผลก็ดี ชื่อว่า เมื่อจะอุบัติเหมือนกัน. ส่วน
ในขณะแห่งอรหัตตมรรค ชื่อว่า กำลังอุบัติ. ในขณะแห่งอรหัตตผล
ชื่อว่า อุบัติแล้ว. จริงอยู่ อิทธิวิธญาณเป็นต้น ของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดขึ้นตามลำดับ เหมือนของพระสาวกทั้งหลาย.
ก็กองแห่งคุณมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น แม้ทั้งสิ้น ชื่อว่าย่อม
มาพร้อมกันทีเดียวกับพระอรหัตตมรรค. เพราะฉะนั้น ท่านเหล่านั้น
ชื่อว่าอุบัติแล้วในขณะแห่งอรหัตตผล เพราะมีกิจทั้งปวงอันสำเร็จ
แล้ว. ในสูตรนี้ พึง ราบว่า กำลังอุบัติ หมายเอาขณะแห่งอรหัตตผล
นั่นแล. ความจริงในคำว่า อุปฺปชฺชติ นี้ มีใจความดังนี้ว่า อุปฺปนฺโน
โหติ
(ย่อมเป็นผู้อุบัติ).
บทว่า พหุชนหิตาย ความว่า ย่อมเสด็จอุบัติเพื่อประโยชน์
เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก. บทว่า พหุโน ชนสฺส สุขาย ความว่า ย่อมเสด็จ
อุบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก. บทว่า โลกานุกมฺปาย ความว่า
เสด็จอุบัติเพราะอาศัยความเอ็นดูแก่สัตวโลก. ถามว่า แก่สัตว์โลก
ไหน ? แก้ว่า เพื่อประโยชน์แก่สัตวโลกผู้สดับพระธรรมเทศนา
ของพระตถาคตได้ดื่มน้ำอมฤตแล้วตรัสรู้ธรรม. เมื่อพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้า ยับยั้งอยู่ 7 สัปดาห์ ณ โพธิมัณฑสถาน แล้วเสด็จจาก
โพธิมัณฑสถานมายังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วทรงแสดงธรรม
จักกัปปวัตตนสูตรว่า ภิกษุทั้งหลาย ที่สุด 2 อย่างนี้ บรรพชิต
ไม่ควรเสพ เป็นต้น พรหมนับได้ 18 โกฏิ พร้อมด้วยท่านพระ-
อัญญาโกณฑัญญเถระ ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. พระองค์เสด็จอุบัติ
เพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตวโลกนี้. ในวันที่ 5 ในเวลาจบ อนัตต-
ลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์เถระ ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. พระองค์
เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตวโลกแม้นี้. ลำดับนั้น ทรง
ให้บุรุษ 55 คน มียสกุลบุตรเป็นหัวหน้า ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
แต่นั้นทรงให้ภัททวัคคีย์กุมาร 30 คน ณ ไพรสณฑ์ป่าฝ้าย ได้
บรรลุ มรรค 3 และผล 3. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์
แก่สัตวโลกนี้. ในเวลาจบอาทิตตปริยายสูตร ให้ชฎิล 1,000 คน
ดำรงอยู่ในพระอรหัต ณ คยาสีสประเทศ. อนึ่ง พราหมณ์และ
คฤหบดี 11 นหุต มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ณ สวนตาลหนุ่ม
ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
อีก 1 นหุต ตั้งอยู่ในสรณะ ในเวลาจบอนุโมทนาด้วยติโรกุฑฑสูตร
สัตว์ 84,000 ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งนายสุมนมาลาการ
สัตว์ 84,000 ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งช้างธนบาล สัตว์
10,000 ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งขทิรังคารชาดก สัตว์
84,000 ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในสมาคมแห่งชัมพุกาชีวก สัตว์
84,000 ดื่มน้ำอมฤต. ในสมาคมแห่งอานันทเศรษฐี สัตว์ 84,000
ดื่มน้ำอมฤต. ในวันแสดงปารายนสูตร ณ ปาสาณกเจดีย์ สัตว์
14 โกฏิ ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในวันแสดงยมกปาฏิหาริย์ สัตว์ 20 โกฏิ

ดื่มน้ำอมฤต. เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ณ ภพดาวดึงส์ ทรงกระทำพระมารดาให้เป็นกายสักขี แสดง
พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ สัตว์ 80 โกฏิ ดื่มน้ำอมฤต. ในวันเสด็จลงจากเทวโลก
สัตว์ 30 โกฏิ ดื่มน้ำอมฤต ในสักกปัญหสูตร เทวดา 80,000 ได้ดื่มน้ำอมฤต
แล้ว. ในฐานะทั้ง 4 เหล่านี้ คือ ในมหาสมัยสูตร ในมงคลสูตร
ในจุลลราหุโลวาทสูตร ในสมจิตตปฏิปทาสูตร สัตว์ผู้ได้ตรัสรู้ธรรม
กำหนดไม่ได้. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตวโลก
แม้นี้แล. เบื้องหน้าแต่นี้จากวันนี้ไป (และ) ในอนาคตกาล พึงทราบ
เนื้อความในอธิการนี้ดังกล่าวมานี้ แม้ด้วยอำนาจแห่งเหล่าสัตว์ผู้
อาศัยพระศาสนาแล้วดำรงอยู่ในทางสวรรค์และพระนิพพาน.
บทว่า เทวมนุสฺสานํ ความว่า พระองค์เสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล และเพื่อความสุข แก่เทวดาแสะมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น
ก็หาไม่ (แต่) เสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล และเพื่อความสุข
แก่สัตว์ที่เหลือ มีนาคและครุฑเป็นต้นด้วย. ก็เพื่อจะแสดงบุคคล
ผู้ถือปฏิสนธิเป็นสเหตุกะ ผู้สมควรทำให้แจ้งมรรคและผล จึงกล่าว
อย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า พระองค์เสด็จอุบัติ เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูลและเพื่อความสุขเท่านั้น แม้แก่สัตว์เหล่านั้น.

บทว่า กตโม เอกปุคฺคโล มีปุจฉาดังต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า ปุจฉานี้ มี 5 อย่าง คือ อทิฏฐโชตนาปุจฉา (คำถาม
เพื่อให้กระจ่างในสิ่งที่ตนยังไม่เห็น) 1 ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา (คำถาม
เพื่อเทียบกับสิ่งที่ตนเห็นแล้ว) 1 วิมติเฉทนาปุจฉา (คำถามเพื่อ
ตัดความสงสัย) 1 อนุมิปุจฉา (คำถามเพื่อรับอนุมัติ ) 1 กเถตุ-

กัมยตาปุจฉา (คำถามโดยใคร่จะกล่าวเสียเอง 1 ปุจฉาทั้ง 5 นั้น
มีความค้างกันดังต่อไปนี้ :-
อทิฎฐโชตนาปุจฉา เป็นไฉน ? ลักษณะตามปกติ เป็นสิ่ง
ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ยังชั่งไม่ได้ ยังไม่ได้ไตร่ตรอง ยังไม่ปรากฏ
ชัด ยังไม่แจ่มแจ้ง บุคคลย่อมถามปัญหาเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อชั่ง
เพื่อไตร่ตรอง เพื่อต้องการให้ปรากฏชัด เพื่อต้องการความแจ่ม
แจ้ง แห่งลักษณะนั้น นี้ชื่อว่า อทิฏฐโชตนาปุจฉา.
ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา เป็นไฉน ? ลักษณะตามปกติ เป็นอันรู้
แล้ว เห็น ชั่ง ไตร่ตรอง ปรากฏชัด และแจ่มแจ้งแล้ว บุคคลย่อมถาม
ปัญหา เพื่อเทียบเคียงกับบัณฑิตเหล่าอื่น นี้ชื่อว่า ทิฏฐสังสันทนา-
ปุจฉา.

วิมติเฉทนาปุจฉา เป็นไฉน ? ตามปกติ บุคคลย่อมแล่นไป
สู่ความสงสัย เกิดความลังเลใจขึ้นว่า เป็นอย่างนี้หรือหนอ มิใช่
หรือหนอ เป็นอะไรหนอ เป็นอย่างไรหนอ เขาจึงถามปัญหา เพื่อ
ต้องการตัดความสงสัย นี้ชื่อว่า วิมติเฉทนาปุจฉา.
อนุมติปุจฉา เป็นไฉน. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม
ปัญหา ตามความเห็นชอบของภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ? รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง. ไม่
เที่ยงพระเจ้าข้า. ก็รูปใดไม่เที่ยง รูปนั้น เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า. ก็รูปใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวน
ไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นรูปนั่นว่า นั่นเป็นของเรา

เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา. ก็ข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า.
นี้ชื่อว่า อนุมติปุจฉา.

กเถตุกัมยตาปุจฉา เป็นไฉน ? พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถาม
ปัญหาโดยที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะตรัสตอบเสียเอง แก่
ภิกษุทั้งหลาย ว่า ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน 4 เหล่านี้ สติปัฏฐาน 4
เป็นไฉน ? นี้ชื่อว่า กเถตุกัมยตาปุจฉา.

ในปุจฉาทั้ง 5 เหล่านั้น ปุจฉา 3 ข้างต้น ไม่มีแก่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าสิ่งไร ๆ ในกาลอันยืดยาวทั้ง 3
กาล ที่ปัจจัยปรุงแต่ง หรือพ้นจากกาลอันยืดยาว ที่ปัจจัยปรุงแต่ง
ไม่ได้ ชื่อว่าไม่ทรงเห็น ไม่ทรงทราบ ไม่ทรงชั่ง ไม่ทรงไตร่ตรอง
ไม่ปรากฏชัด ไม่แจ่มแจ้ง ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะ
ฉะนั้น อทิฏฐโชตนาปุจฉา จึงไม่มีแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น. ก็สิ่ง
ใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู้แล้วด้วยพระญาณของพระองค์
กิจคือการเทียบเคียงสิ่งนั้น กับด้วยผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสมณะ พราหมณ์
เทวดา มาร หรือพรหม ย่อมไม่มี ด้วยเหตุนั้น ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา
ย่อมไม่มีแก่พระองค์. ก็เพราะเหตุที่พระองค์ไม่มีความสงสัย. เป็น
เหตุให้กล่าวว่าอย่างไร เป็นผู้ข้ามพ้นความเคลือบแคลงเสียได้
ขจัดความสงสัยในธรรมทั้งปวงได้แล้ว ด้วยเหตุนั้น วิมติเฉทนาปุจฉา
จึงไม่มีแก่พระองค์. ส่วนปุจฉา 2 ข้อนอกนี้ย่อมมีแก่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. ในปุจฉาเหล่านั้น ปุจฉานี้ พึงทราบว่า กเถตุกัมยตาปุจฉา.

บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชี้บุคคลเอก ที่เขาถาม
ด้วยคำถามนั้น ให้แจ่มแจ้ง จึงตรัสว่า พระตถาคตอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถาคโต ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเหตุ 8 ประการ
คือ ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาอย่างนั้น. ทรงพระ
นามว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปอย่างนั้น ทรงพระนามว่า ตถาคต
เพราะเสด็จมาสู่ลักษณะที่แท้. ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรม
ที่แท้จริง ตามที่เป็นจริง. ทรงพระนามว่า พระตถาคต เพราะทรงเห็น
อารมณ์ที่แท้จริง.ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะมีพระวาจาที่แท้จริง.
ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะทรงกระทำเองและให้ผู้อื่นกระทำ.
ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะอรรถว่าทรงครอบงำได้ (คือเป็นใหญ่).
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จ
มาอย่างนั้นเป็นอย่างไร ?
เหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ทรงขวนขวาย
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกทั้งปวงเสด็จมาแล้ว เหมือนอย่างพระผู้มี
พระภาคพระวิปัสสีเสด็จมา เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระสิขีเสด็จมา
เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระเวสสภูเสด็จมา เหมือนอย่างพระผู้มี
พระภาคพระกกุสันธะเสด็จมา เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระ-
โกนาคมน์เสด็จมา เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระกัสสปะเสด็จมา
ข้อนี้มีอธิบายอย่างไร ? มีอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น
เสด็จมาด้วยอภินิหารใด พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย ก็
เสด็จมาด้วยอภินิหารนั้นเหมือนกัน

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระวิปัสสี ฯลฯ พระผู้มีพระภาค
พระกัสสปะ ทรงบำเพ็ญทานบารมี ทรงบำเพ็ญศีลบารมี เนกขัมมบารมี
ปัญญาบารมีวิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตา
บารมีและอุเบกขาบารมี ทรงบำเพ็ญบารมี 30 ทัศเหล่านี้ คือ บารมี
10 อุปบารมี 10 ปรมัตถบารมี 10 ทรงบริจาคมหาบริจาค 5 ประการ
คือ บริจาคอวัยวะ. บริจาคทรัพย์ บริจาคลูก บริจาคเมีย บริจาคชีวิต
ทรงบำเพ็ญบุพประโยค บุพจริยา การแสดงธรรม และญาตัตถจริยา
เป็นต้น ทรงถึงที่สุดแห่งาพุทธจริยา เสด็จมาแล้วอย่างใด พระผู้มี
พระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย ก็เสด็จมาเหมือนอย่างนั้น
อีกนัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระวิปัสสีเป็นต้น ฯล พระผู้มีพระภาค
พระกัสสปะ ทรงเจริญเพิ่มพูนสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท
4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 เสด็จมาแล้ว
อย่างใด พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย ก็เสด็จมาเหมือน
อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า คถาคต เพราะเสด็จมา
อย่างนั้น เป็นอย่างนี้

พระมนุทั้งหลายมีพระวิปัสสีเป็นต้น เสด็จมา
สู่ความเป็นพระสัพพัญญูในโลกอย่างใด แม้
พระศากยมุนีนี้ ก็เสด็จมาเหมือนอย่างนั้น ด้วย
เหตุนั้น พระผู้มีจักษุจึงทรงพระนามว่า ตถาคต
ดังนี้.


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จมา
อย่างนั้น เป็นอย่างนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จไป
อย่างนั้น เป็นอย่างไร ?
เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระวิปัสสี ประสูติในบัดเดี๋ยวนั้น
ก็เสด็จไป ฯลฯ เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระกัสสปะ ประสูติใน
บัดเดี๋ยวนั้นก็เสด็จไป ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จไปอย่างไร ?
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ประสูติในบัดเดี๋ยวนั้นเอง ประทับยืน
บนปฐพีด้วยพระยุคลบาทอันเสมอกัน บ่ายพระพักตร์ไปเบื้องทิศอุดร
เสด็จไปโดยอย่างพระบาท 7 ก้าว ดังพระบาลีที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนอานนท์
พระโพธิสัตว์ประสูติบัดเดี๋ยวนั้น ก็ประทับยืนด้วยพระยุคลบาทอัน
เสมอกัน บ่ายพระพักตร์ไปเบื้องทิศอุดร เสด็จไปโดยย่างพระบาท 7 ก้าว
เมื่อท้าวมหาพรหมกั้นพระเศวตฉัตร ทรงเหลียวดูทั่วทิศ ทรงเปล่ง
อาสภิวาจาว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็น
ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย บัดนี้
ภพใหม่ไม่มีต่อไป ดังนี้. และการเสด็จไปของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ก็ได้เป็นอาการอันแท้ ไม่แปรผัน ด้วยความเป็นบุพนิมิตแห่งการบรรลุ
คุณวิเศษหลายประการ คือ ข้อที่พระองค์ประสูติในบัดเดี๋ยวนั้นเอง
ก็ได้ประทับยืนด้วยพระยุคลบาทอันเสมอกัน นี้เป็นบุพนิมิตแห่งการได้
อิทธิบาท 4 ของพระองค์. อนึ่ง ความที่พระองค์บ่ายพระพักตร์ไปเบื้อง
ทิศอุดร เป็นบุพนิมิตแห่งความเป็นโลกุตตรธรรมทั้งปวง. การย่าง
พระบาท 7 ก้าวเป็นนพนิมิตแห่งการได้รัตนะ คือ โพชฌงค์ 7 ประการ
การกั้นพระเศวตฉัตร เป็นบุพนิมิตแห่งการได้เศวตฉัตรอันบริสุทธิ์
ประเสริฐ. คือพระอรหัตตผลวิมุตติธรรม. การทอดพระเนตรเหลียวดู
ทั่วทิศ เป็นนพนิมิตแห่งการได้พระอนาวรณญาณ คือความเป็นพระ-

สัพพัญญู. การเปล่งอาสภิวาจา เป็นบุพนิมิตแห่งการประกาศ
พระธรรมจักรอันประเสริฐ อันใคร ๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้. แม้พระผู้มี
พระภาคเจ้าพระองค์นี้ ก็เสด็จไปเหมือนอย่างนั้น ละการเสด็จไปของ
พระองค์นั้น ก็ได้เป็นอาการอันแท้ ไม่เปรผัน ด้วยความเป็นบุพนิมิต
แห่งการบรรลุคุณวิเศษเหล่านั้นแล.

ด้วยเหตุนั้นพระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
พระควัมบดีโคดมนั้นประสูติแล้วในบัดเดี๋ยวนั้น
ก็ทรงสัมผัสพื้นดินด้วยพระยุคลบาทสม่ำเสมอ
เสด็จย่างพระบาทไปได้ 7 ก้าว และฝูงเทพยดา
เจ้าก็กางกั้นเศวตฉัตร พระโคดมนั้นครั้นเสด็จ
ไปได้ 7 ก้าว ก็ทอดพระเนตรไปรอบทิศเสมอกัน
ทรงเปล่งพระสุรเสียงประกอบด้วยองค์ 8 ประ
การ ปานดังราชสีห์ยืนอยู่บนยอดบรรพตฉะนั้น
ดังนี้.


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จไป
อย่างนั้น เป็นอย่างนี้.

อีกนัยหนึ่ง เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคพระวิปัสสีเสด็จไปแล้ว
ฯลฯ พระผู้มีพระภาคพระกัสสปะเสด็จไปแล้วฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นี้ก็เหมือนฉันนั้นทีเดียว ทรงละกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ
เสด็จไปแล้ว ทรงละพยาบาทด้วยความไม่พยาบาท ทรงละถีนมิทธะ
ด้วยอาโลกสัญญา ทรงละอุทธัจจกุกกุจจะด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน

ทรงละวิจิกิจฉาด้วยการกำหนดธรรม เสด็จไปแล้ว ทรงทำลายอวิชชา
ด้วยพระปรีชาญาณ ทรงบรรเทาความไม่ยินดีด้วยความปราโมทย์
ทรงเปิดบานประตูคือนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน ทรงสงบวิตกวิจารด้วย
ทุติยฌาน ทรงหน่ายปีติด้วยตติยฌาน ทรงละสุขทุกข์ด้วยจตุตถฌาน
ทรงก้าวล่วงรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา และนานัตตสัญญา ด้วยอากาสา-
นัญจายตนสมาบัติ ทรงก้าวล่วงอากาสานัญจายตนสัญญาด้วยวิญญา-
ณัญจายตนสมาบัติ ทรงก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนสัญญา ด้วยอากิญ-
จัญญายตนสมาบัติ ทรงก้าวล่วงอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนว-
สัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เสด็จไปแล้ว.
ทรงละนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา ทรงละสุขสัญญา
ด้วยทุกขานุปัสสนา ทรงละอัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสสนา ทรงละ
นันทิ (ความเพลิดเพลิน) ด้วยนิพพิทานุปัสสนา ทรงละราคะด้วย
วิราคานุปัสสนา ทรงละสมุทัยด้วยนิโรธานุปัสสนา ละความยึดมั่น
ด้วยอุปสมานุปัสสนา ทรงละฆนสัญญา (สำคัญว่าเป็นก้อน) ด้วย
ขยานุปัสสนา ทรงละอายูหนา (การประมวลมา) ด้วยวยานุปัสสนา
ทรงละธุวสัญญา (สำคัญว่ายั่งยืน) ด้วยวิปริณามานุปัสสนา ทรงละ
นิมิตตสัญญาด้วยอนิมิตตานุปัสสนา ทรงละการตั้งมั่นแห่งกิเลสด้วย
อัปปณิหิตานุปัสสนา ทรงละอภินิเวส (ยึดมั่น) ด้วยสุญญุตานุปัสสนา
ทรงละสาราทานาภินิเวสะ (ยึดมั่นด้วยยึดถือว่าเป็นสาระ) ด้วยอธิ
ปัญญาธรรมวิปัสสนา (การเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง) ทรงละ
สัมโมหาภินิเวส (ยึดมั่นด้วยความลุ่มหลง) ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ
ทรงละอาลยาภินิเวส (ยึดมั่นในอาลัย) ด้วยอาทีนวานุปัสสนา ละอัป-
ปฏิสังขา (ไม่พิจารณา) ด้วยปฏิสังขานุปัสสนา ละสังโยคาภินิเวสะ

(ยึดมั่นในการประกอบกิเลส) ด้วยวิวัฏฏานุปัสสนา ทรงละกิเลสอัน
ตั้งอยู่ในฐานเดียวกับทิฏฐิ ด้วยโสดาปัตติมรรค ทรงละกิเลสหยาบ
ด้วยสกทาคามิมรรค ทรงถอนกิเลสอย่างละเอียดด้วยอนาคามิมรรค
ทรงตัดกิเลสทั้งปวงได้เด็ดขาดด้วยอรหัตตมรรค เสด็จไปแล้ว. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปอย่างนั้น เป็น
อย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนาม ตถาคต เพราะเสด็จมาถึง
ลักษณะที่แท้เป็นอย่างไร ? ปฐวีธาตุมีลักษณะแข้นแข็ง เป็นลักษณะแท้
ไม่แปรผัน อาโปธาตุ มีลักษณะไหลเอิบอาบ เตโชธาตุ มีลักษณะร้อน
วาโยธาตุมีลักษณะเคลื่อนไปมา อากาศธาตุมีลักษณะที่สัมผัสถูกต้อง
ไม่ได้ วิญญาณธาตุมีลักษณะรู้แจ้ง รูปมีลักษณะสลาย เวทนามี
ลักษณะเสวยอารมณ์ สัญญามีลักษณะจำอารมณ์ สังขารมีลักษณะ
ปรุงแต่งอารมณ์ วิญญาณมีลักษณะรู้อารมณ์ วิตกมีลักษณะยกจิต
ขึ้นสู่อารมณ์ วิจารมีลักษณะตามเคล้าอารมณ์ ปีติมีลักษณะแผ่ไป
สุขมีลักษณะสำราญ เอกัคคตาจิตมีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน ผัสสะมีลักษณะ
ถูกต้องอารมณ์ สัทธินทรีย์มีลักษณะน้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์มีลักษณะ
ประคองไว้ สตินทรีย์มีลักษณะบำรุง สมาธินทรีย์มีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญินทรีย์มีลักษณะรู้ชัด สัทธาพละมีลักษณะไม่หวั่นไหวในความเชื่อ
วิริยพละ มีลักษณะไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน สติพละมีลักษณะ
ไม่หวั่นไหว ในความเป็นผู้มีสติหลงลืม สมาธิพละมีลักษณะไม่หวั่นไหว
ในความฟุ้งซ่าน ปัญญาพละ มีลักษณะไม่หวั่นไหวในอวิชชา สติ-
สัมโพชฌงค์มีลักษณะบำรุง ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์มีลักษณะเลือกเฟ้น
วิริยสัมโพชฌงค์มีลักษณะประคอง ปีติสัมโพชฌงค์มีลักษณะแผ่ไป

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีลักษณะเข้าไปสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์มีลักษณะ
ไม่ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์มีลักษณะพิจารณา สัมมาทิฏฐิ. มี
ลักษณะเห็น สัมมาสังกัปปะ มีลักษณะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ สัมมาวาจา
มีลักษณะกำหนดถือเอา สัมมากัมมันตะมีลักษณะลุกขึ้นพร้อม สัมมา-
อาชีวะมีลักษณะผ่องแผ้ว สัมมาวายามะมีลักษณะประคอง สัมมาสติ
มีลักษณะบำรุง สัมมาสมาธิ มีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน อวิชชามีลักษณะ
ไม่รู้ สังขารมีลักษณะคิดนึก วิญญาณมีลักษณะรู้อารมณ์ นามมี
ลักษณะน้อมไป รูปมีลักษณะสลาย สฬายตนะมีลักษณะต่อกัน ผัสสะ
มีลักษณะถูกต้องอารมณ์ เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ ตัณหามี
ลักษณะเป็นเหตุ อุปาทานมีลักษณะยึดถือ ภพมีลักษณะประมวลมา
ชาติมีลักษณะบังเกิด ชรามีลักษณะทรุดโทรม มรณะมีลักษณะจิตไป
ธาตุมีลักษณะว่าง อายตนะมีลักษณะต่อกัน สติปัฏฐาน มีลักษณะ
บำรุง สัมมัปปธาน มีลักษณะเริ่มตั้ง อิทธิบาทมีลักษณะสำเร็จ
อินทรีย์มีลักษณะเป็นใหญ่ พละมีลักษณะไม่หวั่นไหว โพชฌงค์มี
ลักษณะนำออกจากทุกข์ มรรคมีลักษณะเป็นตัวเหตุ สัจจะมีลักษณะ
เป็นของแท้ สมถะมีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนามีลักษณะตามเห็น
สมถและวิปัสสนามีลักษณะแห่งกิจอันเดียวกัน ธรรมที่ขนานคู่กัน
มีลักษณะไม่กลับกลาย สีลวิสุทธิมีลักษณะสำรวม จิตตวิสุทธิมี
ลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิมีลักษณะเห็น ขยญาณ (ความรู้ใน
ความสิ้นไป) มีลักษณะตัดขาด อนุปปาทญาณ (ความรู้ในความไม่
เกิดขึ้น) มีลักษณะระงับ ฉันทะมีลักษณะเป็นมูลเค้า มนสิการมีลักษณะ
เป็นสมุฏฐานที่เกิดขึ้น ผัสสะมีลักษณะเป็นที่ร่วมกัน เวทนามีลักษณะ
ประชุมลง สมาธิมีลักษณะเป็นประมุข สติมีลักษณะเป็นอธิปไตย

ปัญญามีลักษณะยิ่งยวดกว่านั้น วิมุตติมีลักษณะเป็นสาระ นิพพาน
ที่หยั่งลงสู่อมตะ มีลักษณะเป็นที่สุดสิ้น เป็นของแท่ ไม่แปรผัน
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาถึงลักษณะที่แท้ด้วยญาณคติ คือบรรลุ
ไม่ผิดพลาด ด้วยประการอย่างนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
ตถาคต เพราะเสด็จมาถึงลักษณะที่แท้ เป็นอย่างนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรม
ที่แท้จริง ตามความเป็นจริงอย่างไร ?

ชื่อว่าธรรมที่แท้จริง ได้แก่ อริยสัจ 4. อย่างที่ตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ 4 เหล่านี้ เป็นของแท้ไม่ผิด ไม่กลายเป็นอย่างอื่น
อริยสัจ 4 อะไรบ้าง ? ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ว่า นี้ทุกข์ นั่นเป็นของแท้
นั่นไม่ผิด นั่นไม่กลายเป็นอย่างอื่น. พึงทราบความพิสดารต่อไป.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ยิ่งเอง ซึ่งอริยสัจ 4 เหล่านั้น เพราะฉะนั้น
จึงได้รับพระนามว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ธรรมที่แท้ ก็ คต ศัพท์ในที่นี้
มีตรัสรูยิ่งเองเป็นอรรถ.
อีกอย่างหนึ่ง ภาวะชราสละมรณะอันเกิดและประชุมขึ้น
เพราะชาติเป็นปัจจัย เป็นความแท้ไม่แปรฝัน ไม่เป็นอย่างอื่น ฯลฯ
สภาวะสังขารทั้งหลายเกิดและประชุมขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
เป็นความแท้ไม่แปรผันไม่เป็นอย่างอื่น. สภาวะอวิชชาเป็นปัจจัย
แก่สังขารทั้งหลายก็เหมือนกัน สภาวะสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ
ฯลฯ สภาวะชาติเป็นปัจจัยแก่ ชราและมรณะ, เป็นความแท้นั้นไม่แปรผัน
ไม่เป็นอย่างอื่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ธรรมที่แท้นั้นทั้งหมด
แม้เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้ยิ่งเอง ซึ่งธรรม

อันถ่องแท้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะตรัสรู้
ธรรมอันถ่องแท้ตามความเป็นจริง เป็นอย่างนี้.

ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงเห็นอารมณ์ที่แท้จริง เป็นอย่างไร ?

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ทรงเห็นรูปารมณ์ โดยอาการทุกอย่าง
ที่มาปรากฏทางจักขุทวาร ของเหล่าสัตว์หาประมาณมิได้ ในโลกธาตุ
อันหาประมาณมิได้ ในโลกพร้อมด้วยเทวโลก ในหมู่สัตว์พร้อมด้วย
เทวดาและมนุษย์.

รูปารมณ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรู้เห็นอย่างนี้ ทรงจำแนก
ด้วยอำนาจอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นต้นก็ดี ด้วยอำนาจร่องรอย,
ที่ได้ในการเห็น ไดยิน ทราบ และรู้แจ้งก็ดี โดยชื่อมิใช่น้อย โดย
วาระ 13 โดยนัย 52 ตามนัยมีอาทิว่า รูปใด เพราะอาศัยมหาภูตรูป
4 มีสีและแสง เห็นได้ กระทบได้ เป็นสีเขียว สีเหลือง รูปนั้น คือ
รูปายตนะ เป็นไฉน ดังนี้ เป็นของแท้ทั้งนั้น ไม่แท้ไม่มี. แม้ใน
สัททารมณ์เป็นต้น ที่มาปรากฏ แม้ในโสตทวารเป็นต้นก็นัยนี้.
สมจริงดังคำ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย อารมณ์
ใด อันชาวโลกพร้อมด้วยเทวโลก ฯลฯ อันหมู่สัตว์ พร้อมด้วยเทวดา
และมนุษย์ เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว
แสวงหาแล้ว พิจารณาแล้ว ย่อมรู้อารมณ์นั้น เรารู้ยิ่งอารมณ์นั้น
แล้วด้วยใจ อารมณ์นั้น ตถาคตรู้แจ้งแล้ว อารมณ์นั้น ปรากฏแก่
ตถาคตแล้ว. ชื่อว่า ตถาคต เพราะทรงเห็นอารมณ์ที่แท้จริงด้วยประการ
ฉะนี้. พึงทราบการเกิดแห่งบทว่า ตถาคต (ผู้ทรงเห็นอารมณ์ที่แท้จริง)

ชื่อว่า ตถาคต เพราะมีพระวาจาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

ราตรีใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งอปราชิตบัลลังก์
ณ โพธิมัณฑสถาน ทรงย่ำยีกระหม่อมของมารทั้ง 3 ตรัสรู้ยิ่งเอง
ซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และราตรีใด เสด็จปรินิพพาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ ในระหว่าง
ราตรีนั้น ในเวลาที่พระองค์มีพรรษาประมาณ 45 พรรษา พระผู้
มีพระภาคเจ้า ตรัสพุทธพจน์อันใด ในปฐมโพธิกาลบ้าง มัชฌิม
โพธิกาลบ้าง ปัจฉิมโพธิกาลบ้าง คือสุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละ
พระพุทธพจน์ ทั้งหมดนั้น ใคร ๆ ตำหนิไม่ได้ ทั้งโดยอรรถและโดย
พยัญชนะ ไม่ขาดไม่เกิน บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง เป็นเครื่องย่ำยี
ราคะ ในพระพุทธพจน์นั้น ไม่มีความผิดพลาดแม้เพียงปลายขนทราย
พระพุทธพจน์ทั้งหมดนั้น เหมือนประทับไว้ด้วยตราอันเดียวกัน
เหมือนตวงด้วยทะนานเดียวกัน และเหมือนชั่งด้วยตาชังอันเดียวกัน
จึงเป็นของแท้แน่นอนทั้งนั้น ไม่มีที่ไม่แท้.้ ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า
ดูก่อนจุนทะ ตถาคตตรัสรู้ยิ่งเองซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในราตรีใด
และปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในราตรีใด ระหว่าง
ราตรีนั้น ได้ภาษิต ได้กล่าว ชี้แจง คำพูดอันใด อันนั้น เป็นของแท้
อย่างเดียว ไม่กลายเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ตถาคต.
จริงอยู่ คตศัพท์ ในบทว่า ตถาคโต นี้ มีคทเป็นอรรถ. ชื่อว่า
ตถาคต เพราะมีพระวาจาที่แท้จริง ด้วยประการอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง การพูด อธิบายว่า การกล่าว ชื่อว่า อาคทะ. การตรัส
ของพระองค์เป็นจริง ไม่วิปริต เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ตถาคต

เพราะแปลง เป็น ต. พึงทราบการเชื่อมบทในอรรถนั้น ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเป็นผู้มีปกติกระทำอย่างที่ตรัสนั้น
เป็นอย่างไร ?
เพราะว่า พระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมอนุโลม
แก่พระวาจา แม้พระวาจาก็อนุโลมแก่พระกาย เพราะเหตุนั้น
พระองค์ตรัสอย่างใด ก็ทรงกระทำอย่างนั้น และทรงกระทำอย่างใด
ก็ตรัสอย่างนั้น. ก็พระวาจาของพระองค์ผู้เป็นอย่างนั้น ตรัสอย่างใด
แม้พระกายก็ไปอย่างนั้น อธิบายว่า ดำเนินไป อย่างนั้น. อนึ่ง พระกาย
ทรงกระทำอย่างใด แม้พระวาจา ก็ตรัสอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น จึง
ชื่อว่า ตถาคต. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตพูดอย่างใด กระทำอย่างนั้น กระทำอย่างใด
ก็พูดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ตถาคต. ชื่อว่า ตถาคต
เพราะเป็นผู้มีปกติกระทำอย่างที่ตรัสนั้น ด้วยประการฉะนี้.
ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถครอบงำได้ เป็นอย่างไร ?
เพราะพระองค์ทรงครอบงำ สัตว์ทั้งปวงในโลกธาตุหา
ประมาณมิได้ เบื้องบนถึงภวัคคพรหม เบื้องต่ำ ถึงอเวจีมหานรก
เบื้องขวางกำหนดที่สุดรอบ ๆ ด้วยศีลบ้าง สมาธิบ้าง ปัญญาบ้าง
วิมุตติบ้าง พระองค์ไม่มีการชั่งหรือการนับ พระองค์ชั่งไม่ได้
นับไม่ได้ เป็นผู้ยอดเยี่ยมเป็นพระราชาแห่งพระราชา เป็นเทพ
แห่งเทพ เป็นสักกะยอดแห่งเหล่าสักกะ เป็นพรหมยอดแห่งเหล่า
พรหม ด้วยเหตุนั้น พระองค์จงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้

ครอบงำ หมู่สัตว์ในโลก พร้อมด้วยเทวโลก ฯลฯ พร้อมด้วยเทวดา
และมนุษย์ อันใคร ๆ ครอบงำมิได้ เป็นผู้เห็นโดยแท้ ทำให้ผู้อื่นอยู่
ในอำนาจ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ตถาคต. พึงทราบบทสนธิ ใน
คำว่า ตถาคโต นั้น อย่างนี้ :-
การตรัส (พึงเห็น) เหมือนยาอันประเสริฐ. ก็การตรัสนั้น
คืออะไร ? คือความงดงามแห่งเทศนา และความพอกพูนขึ้นแห่งบุญ.
เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงทรงครอบงำคนผู้เป็นปรัปปวาท
ทั้งหมด และสัตวโลกพร้อมด้วยเทวโลก เหมือนหมอผู้มีอำนาจ
มากครอบงำงูทั้งหลายด้วยยาทิพย์ ฉะนั้น. ดังนั้น พระองค์มีการตรัส
คือความงดงามแห่งเทศนา และความพอกพูนขึ้นแห่งบุญ อันเป็นจริง
ไม่วิปริต เพราะทรงครอบงำสัตวโลกได้ เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า
ตถาคต เพราะแปลง ท. อักษร เป็น ต. อักษร. ชื่อว่า ตถาคต
เพราะอรรถว่า ทรงครอบงำด้วยประการฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไปด้วยความจริง.
เพราะทรงถึงซึ่ง ความจริง ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ตรัสรู้ ทรงล่วงแล้ว
ทรงบรรลุ ทรงดำเนินไป. ในบรรดาคำเหล่านั้น ชื่อว่า ตถาคต
เพราะเสด็จไป คือ ตรัสรู้โลกทั้งสิ้นด้วยความจริง คือ ตีรณปริญญา.
ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไป คือ ทรงล่วงโลกสมุทัย ด้วยความจริง
คือ ปหานปริญญา. ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จไป คือ บรรลุการดับ
สนิทแห่งโลก ด้วยความจริง คือ สัจฉิกิริยา. ชื่อว่า ตถาคต เพราะ
เสด็จไปคือดำเนินไปสู่ความจริง คือ ปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ถึงความ
ดับโลก. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกอันตถาคต

ตรัสรู้ยิ่งแล้ว ตถาคตไม่ประกอบแล้วในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
โลกสมุทัย ตถาคต ตรัสรู้ยิ่งแล้ว โลกสมุทัย อันตถาคต ละได้แล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกนิโรธ อันตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้ว โลกนิโรธ
อันตถาคตกระทำให้แจ้งแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกนิโรธคามินี-
ปฏิปทา อันตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้ว เจริญแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัจจะใดแห่งโลก พร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ สัจจะทั้งหมด อันตถาคต
ตรัสรู้ยิ่งแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ตถาคต. อรรถแห่งคำว่า
ตถาคตนั้น บัณฑิตพึงทราบแม้ด้วยประการอย่างนี้. แม้คำนี้ก็เป็น
เพียงแนวทางในการแสดงความที่ตถาคตเป็นตถาคต. พระตถาคต
เท่านั้น จึงจะพรรณนา ความที่ตถาคตเป็นตถาคตได้ ครบถ้วน
ทุกประการ.
ก็ใน 2 บทว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทโธ อันดับแรก พึงทราบว่า
อรหํ ด้วยเหตุเหล่านี้คือ เพราะเป็นผู้ไกลข้าศึกคือกิเลส เพราะ
เป็นผู้หักกำกงแห่งสังสารจักรเสียได้ เพราะควรแก่สักการะมี
ปัจจัยเป็นต้น และเพราะไม่มีความลับในการทำชั่ว. ส่วนที่ชื่อว่า
สัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง โดยชอบและด้วยพระองค์
เอง. ความสังเขปในข้อนี้มีเท่านี้. ทั้ง 2 บทนี้ กล่าวไว้โดยพิสดาร
ในการพรรณนาพุทธานุสสติ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 1

อรรถกถาสูตรที่ 2



ในสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปาตุภาโว ได้แก่ การเกิดขึ้น คือ การสำเร็จ. บทว่า ทุลฺลโภ
โลกสฺมึ
ได้แก่ หาได้ยาก คือ หาได้โดยยากยิ่ง ในสัตวโลกนี้. ที่ชื่อว่า
หาได้ยาก เพราะเหตุไร ? เพราะพระองค์ไม่อาจบำเพ็ญทานบารมี
คราวเดียวแล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า. อนึ่งพระองค์ไม่ทรงสามารถ
บำเพ็ญทานบารมี 2 ครั้ง 10 ครั้ง 20 ครั้ง 50 ครั้ง 100 ครั้ง
1,000 ครั้ง โกฏิครั้ง แสนโกฏิครั้ง ไม่ทรงสามารถบำเพ็ญทาน
บารมีได้ 1 วัน 2 วัน 10 วัน 20 วัน 50 วัน 100 วัน 1,000 วัน
100,000 วัน แสนโกฏิวัน ฯลฯ 1 เดือน 1 ปี 2 ปี ฯลฯ แสนโกฏิปี
1 กัป 2 กัป ฯลฯ แสนโกฏิกัป พระองค์ไม่สามารถบำเพ็ญทาน
บารมี 1 อสงไขย 2 อสงไขย 3 อสงไขย แห่งกัป แล้วเป็นพระ
พุทธเจ้าได้ แม้ในศีลบารมี เนกขัมมบารมี ฯลฯ อุเบกขาบารมี
ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ครั้งสุดท้าย พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี 10 สิ้น 4
อสงไขยกำไรแสนกัป แล้วจึงสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ ด้วยเหตุ
ดังกล่าวมานี้ พระองค์จึงชื่อ ว่าหาได้ยาก.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 2